เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง

4.สโตนเฮนจ์

 สโตนเฮนจ์ (อังกฤษ: Stonehenge) เป็นกลุ่มแท่งหินขนาดใหญ่ ตั้งอยู่กลางทุ่งราบกว้างใหญ่บนที่ราบซอลส์บรี (Salisbury Plain) ในบริเวณตอนใต้ของเกาะอังกฤษ ประกอบไปด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง แท่งหินบางอันตั้งขึ้น บางอันวางนอนลง และบางอันก็ถูกวางซ้อนอยู่ข้างบน
นักโบราณคดีเชื่อว่ากลุ่มกองหินนี้ถูกสร้างขึ้นจากที่ไหนสักแห่งเมื่อประมาณ 3000–2000 ปีก่อนคริสตกาล กล่าวคือ การหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสีเมื่อ พ.ศ. 2551 เผยให้เห็นว่าหินก้อนแรกถูกวางตั้งเมื่อประมาณ 2400–2200 ปีก่อนคริสตกาลในขณะที่ทฤษฎีอื่น ๆ ระบุว่ากลุ่มหินที่ถูกวางตั้งมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นถึง 3000 ปีก่อนคริสตกาล
นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ต่าง สงสัยว่า คนในสมัยก่อนสามารถยกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน ขึ้นไปวางเรียงกันได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ปราศจากเครื่องทุ่นแรงอย่างที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน และบริเวณที่ราบดังกล่าวไม่มีก้อนหินขนาดมหึมานี้ ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าผู้สร้างต้องทำการชักลากแท่งหินยักษ์ทั้งหมดมาจากที่ อื่น ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจาก "ทุ่งมาร์ลโบโร" ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร
สโตนเฮนจ์มีชื่อเสียงอย่างมากในฐานะที่เป็นกลุ่มหินประหลาดซึ่งไม่มีใคร ทราบวัตถุประสงค์ในการสร้างอย่างชัดเจน มีการสันนิษฐานหลายประเด็นแตกต่างกันไป แต่ประเด็นที่ดูจะได้รับความเชื่อถือมากที่สุดคือ เป็นสัญลักษณ์ถึงอวัยวะเพศหญิง เป็นสถานที่สำหรับการทำพิธีกรรมทางศาสนาของชนกลุ่มที่นับถือลัทธิดรูอิดรองลงมาคือความเชื่อที่ระบุว่า เป็นการสร้างเพื่อหวังผลทางดาราศาสตร์ ใช้ในการสังเกตปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า เช่น สุริยุปราคา เป็นต้น
สโตนเฮนจ์ได้ถูกจัดให้เป็นเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางอีกด้วย



5.เจดีย์กระเบื้องเคลือบ


จดีย์กระเบื้องเคลือบ
          ตั้งอยู่ที่วัดต้าเป้าเอินในเมืองนานกิงซึ่งเป็น เมืองเอกของมณฑลเจียงซู ทางภาคตะวันออกของจีน เป็นงานสถาปัตยกรรมที่ล้ำค่าแห่งหนึ่งของจีน เป็นสิ่งก่อสร้างเจดีย์รูปแปดเหลี่ยม สูง 9 ชั้น สูง 261 ฟุต หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว มีกระดิ่งแขวนไว้ 80 ลูก และโคมไฟประดับอีกหลายร้อยผูกแขวนไว้ตามชายคา เวลาลมพัดมีเสียงดังไพเราะมาก กล่าวกันว่าบนยอดเจดีย์มีลูกบอลทำด้วยทองติดอยู่มีเหล็กวงแหวนล้อมรอบถึง 9 วง มีไข่มุกขนาดใหญ่ 5 เม็ดอยู่ที่ปลายเป็นเครื่องรางบอกความมีโชคชัยของกรุงนานกิง เป็นความมหัศจรรย์ของเจดีย์ องค์เจดีย์ก่อด้วยอิฐ ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบทั้งหมด เดิมทีพุทธศาสนิกชนชาวจีนเป็นผู้สร้างไว้เพียง 3 ชั้น ต่อมาในสมัยของจักรพรรดิยุ่งโล้แห่งราชวงค์เหม็งประมาณ พ.ศ. 1973 ได้โปรดให้สร้างเพิ่มขึ้นไปอีกเป็น 9 ชั้น มีโซ่โยงลงมาจากชายคาตรงแนวที่เป็นเหลี่ยมขององค์เจดีย์ 8 เส้น โดยแขวนกระดิ่งตามสายโซ่รวม 72 ลูก ปัจจุบันองค์เจดีย์อยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก เนื่องจากเหตุการณ์เกิดกบฎไท้เผ็งได้ถูกเผาทำลายเมื่อ พ.ศ. 2392 นอกจากขนาดใหญ่โตสูงเสียดฟ้าแล้ว สิ่งที่สำคัญอยู่ที่วัสดุกระเบื้องเคลือบที่ใช้นั่นเอง ปัจจุบันอาจไม่งดงามเท่ากับสมัยก่อนแต่ยังตั้งตระหง่านและคงความวิจิตรเอาไว้ได้ตามสมควร
  



6.หอเอนเมืองปีซา 


หอเอนเมืองปีซา   ตั้งอยู่ที่เมืองปีซา   ประเทศอิตาลี   เป็นหอทรงกระบอก  8  ชั้น   สร้างด้วยหินอ่อนสูง  181  ฟุต   เริ่มสร้างเมื่อค.ศ.  1174   แต่การก่อสร้างต้องหยุดชะงักลงเมื่อก่อสร้างไปได้ประมาณ 4-5  ชั้น   เนื่องจากพื้นดินใต้อาคารเริ่มยุบลงจากการที่รากฐานของอาคารไม่มั่นคงพอ   อย่างไรก็ตามต่อมาได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยเมื่อปี ค.ศ. 1350   ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงบางส่วนของโครงสร้างด้านบนไปจากแผนผังเดิมเพื่อ ถ่วงดุลกับการเอียงของหอ โดยรวมระยะเวลาก่อสร้างทั้งสิ้น  176  ปี   แต่ตัวหอก็ยังเอนไปจากแนวตั้งฉากถึง  14  ฟุตปัจจุบันนี้ได้ปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมข้างบนแล้ว   เนื่องจากว่าหอจะเอนลงเรื่อยๆ   ซึ่งบรรดาวิศวกรกำลังหาทางที่จะหยุดยั้งการเอนและอนุรักษ์ให้มีสภาพเอียง ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ชมไปอีกนานๆ   สำหรับหอเอนปิซานี้ภายในมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายด้วยฝีมือจิตรกรชื่อดัง แห่งยุคได้สลักลวดลายไว้สวยงามมาก   ณ  ที่หอเอนปิซาแห่งนี้เป็นที่ที่กาลิเลโอขึ้นไปทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับแรงดึงดูดของโลก
 


 

 

7.สุเหร่าโซเฟีย 

     สุเหร่าโซเฟีย   เป็นสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างศิลปะกรรมกรีกและเปอร์เชีย หรือเรียกว่าสถาปัตยกรรมแบบไบเซนไทน์ (Byzantine)   สุเหร่าโซเฟียมีจุดเด่นอยู่ที่ยอดโดมกลางวิหาร   การประดับประดากระจกหลายสีที่บริเวณเหนือหน้าต่างประตู   และเสาสลักตามแบบไปเซนไทน์ถึง  108  ต้นภายในตัววิหาร   สุเหร่าโซเฟียสร้างขึ้นมาราวคริสต์ศตวรรษที่  13
โดยจักรพรรดิคอนสแตนตินแห่งอาณาจักรโรมันตะวันออก   ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ  17  ปี   
เดิมเป็นโบสถ์ของคริสต์ศาสนา  ณ  กรุงคอนสแตนติโนเปิล   ประเทศตุรกี   แต่กลับถูกชนชาติเติร์กบุกทำลาย   ต่อมาในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน   ได้สร้างขึ้นมาใหม่อย่างวิจิตรงดงามด้วยเครื่องประดับตกแต่งที่มีค่าต่างๆ   โดยใช้เวลาในการสร้างนานถึงประมาณ  20  ปี   แต่เกิดแผ่นดินไหวขึ้นทำให้แตกร้าวเสียหาย   ซึ่งได้รับการซ่อมแซมจนอยู่ในสภาพเดิมในเวลาต่อมา   พอหลังจากสมัยของจักรพรรดิจัสติเนียน   พระเจ้าโมฮัมเหม็ดที่  2   ซึ่งทรงนับถือศาสนาอิสลามได้เข้ามามีอำนาจเหนือตุรกี   ได้ดัดแปลงให้โบสถ์กลายเป็นสุเหร่าที่มีความงามทางสถาปัตยกรรมอีกแบบหนึ่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น